นับตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป นายจ้างที่มีพนักงานตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปจะต้องเริ่มหักเงินสะสมจากพนักงานและจ่ายเงินสมทบเข้า “กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง” คนละครึ่งโดยคิดเป็น 0.25% ของค่าจ้าง เพื่อเป็นหลักประกันและความมั่นคงให้กับลูกจ้างในกรณีที่ออกจากงาน เกษียณ หรือเสียชีวิต
สำหรับคนที่เป็นลูกจ้างแล้ว การออมเงินถือเป็นสิ่งจำเป็นและป้องกันความเสี่ยง หากต้องออกจากงาน เกษียณหรือเสียชีวิต ทั้งนี้ กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างตามกฎหมายใหม่ ซึ่งผ่านมติเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2567 นั้น จะมีผลบังคับให้เริ่มจัดเก็บเงินสะสมและเงินสมทบกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างในช่วงแรก ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 – 30 กันยายน 2573 ในอัตรา 0.25% ของค่าจ้าง (นายจ้างจ่ายเงินสมทบจำนวนเท่ากันกับลูกจ้าง) และตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2573 เป็นต้นไป จะจัดเก็บในอัตรา 0.50% ของค่าจ้าง
ทำไมต้องมีกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง ?
กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง คือ สวัสดิการที่ช่วยคุ้มครองแรงงาน กำหนดขึ้นเพื่อเป็นทุนสงเคราะห์ลูกจ้างกรณีออกจากงาน ไม่ว่าจะเป็นกรณีที่ลาออกเอง นายจ้างเลิกจ้าง ยกเลิกหรือสิ้นสุดสัญญาจ้าง เกษียณอายุหรือแม้แต่กรณีที่ลูกจ้างเสียชีวิต (เงินจะตกแก่บุคคลที่ลูกจ้างระบุไว้ หรือหากไม่มีการระบุหรือบุคคลที่ระบุเสียชีวิตก่อน เงินจะตกแก่บุตร ภรรยา คู่สมรส บิดา มารดาที่มีชีวิตอยู่จำนวนเท่าๆ กัน) ตลอดจนกรณีอื่นๆ ที่คณะกรรมการกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างเป็นผู้กำหนด โดยกองทุนนี้จะเป็นหลักประกัน และสร้างความมั่นคงให้กับลูกจ้างและครอบครัว ช่วยแบ่งเบาภาระ ลดความเดือดร้อนอีกทั้งยังช่วยส่งเสริมวินัยการออมเงินเพื่อให้มีเงินสำรองหรือเงินฉุกเฉินไว้ใช้เมื่อออกจากงาน
สาระสำคัญของกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง
สำหรับกิจการที่ต้องเข้าร่วมเป็นสมาชิกกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง ต้องเป็นกิจการที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป และนายจ้างไม่ได้จัดให้มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ จะต้องดำเนินการให้ลูกจ้างเป็นสมาชิกกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างตามกฎหมาย อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่ลูกจ้างเป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพอยู่แล้ว ก็ยังต้องสมัครกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างอีกได้ หากกิจการของนายจ้างมีลูกจ้างตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป
ทั้งนี้ มีข้อยกเว้นสำหรับบางกิจการที่ไม่อยู่ในบังคับต้องเข้ากองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง ได้แก่ กิจการที่จ้างลูกจ้างทำงานที่มิได้แสวงหากำไรในทางเศรษฐกิจตามกฎกระทรวง (พ.ศ. 2541) ออกตามความในพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 เช่น มูลนิธิ สมาคม องค์กรไม่แสวงหากำไรทางเศรษฐกิจ เป็นต้น
ข้อควรรู้ของกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง
1. นายจ้างต้องยื่นแบบรายการแสดงรายชื่อลูกจ้างและรายละเอียดอื่นๆ สำหรับนายจ้างที่ไม่ประสงค์จะเข้ากองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง แต่ต้องดำเนินการจัดให้มีการสงเคราะห์แก่ลูกจ้างเอง ก็สามารถดำเนินการได้ตามกฎกระทรวง กำหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการจัดการสงเคราะห์แก่ลูกจ้างในกรณีที่ออกจากงานหรือตาย พ.ศ. 2567 โดยต้องกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการฯ เป็นลายลักษณ์อักษร
2. กิจการที่ไม่อยู่ในบังคับต้องเข้ากองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง แต่หากลูกจ้างต้องการเข้าเป็นสมาชิกกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างโดยความยินยอมของนายจ้าง ก็สามารถดำเนินการให้ลูกจ้างเข้ากองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างได้ตามระเบียบคณะกรรมการกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง ว่าด้วยการให้ลูกจ้างในกิจการที่มิได้อยู่ในบังคับตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 สมัครเข้าเป็นสมาชิกกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง พ.ศ. 2567
3. นายจ้างจะหักค่าจ้างของลูกจ้างทุกครั้งที่มีการจ่ายค่าจ้างและนายจ้างจ่ายเงินสมทบ โดยจะนำส่งเงินภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป
4. การคำนวณเงินสะสมและเงินสมทบ จะคำนวณจากเงิน “ค่าจ้าง” ที่ลูกจ้างได้รับ ซึ่งรวมถึงค่าจ้างตามผลงานด้วย เช่น ค่าคอมมิชชั่น ค่าเบี้ยเลี้ยงที่จ่ายประจำ ค่าจ้างในวันหยุดหรือวันลา เป็นต้น
5. หากนายจ้างไม่นำส่งเงินสะสมหรือเงินสมทบ หรือส่งไม่ครบถ้วน ต้องเสียเงินเพิ่มให้แก่กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างในอัตราร้อยละ 5 ต่อเดือน ซึ่งพนักงานตรวจแรงงานจะมีคำเตือนเป็นหนังสือให้นายจ้างนำส่งเงินที่ค้างจ่ายมาชำระภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือ
6. เมื่อลูกจ้างออกจากงานไม่ว่าจะเป็นกรณีใดก็ตาม เช่น ลาออก เกษียณอายุ สิ้นสุดสัญญาจ้าง ถูกเลิกจ้างโดยกระทำความผิด หรือไม่มีความผิด จะได้รับเงินสะสม เงินสมทบ และดอกผลจากเงินดังกล่าว ส่วนกรณีที่ลูกจ้างตาย จะจ่ายให้กับบุคคลผู้พึงได้รับเงินจากกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างตามที่ลูกจ้างระบุไว้ในหนังสือ
7. กรณีที่นายจ้างไม่ยื่นแบบรายการ หรือไม่แจ้งเป็นหนังสือขอเปลี่ยนแปลง หรือแก้ไขเพิ่มเติมรายการภายในกำหนดเวลา หรือยื่นแบบรายการฯ โดยกรอกข้อความอันเป็นเท็จ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ที่มา :
https://www.dst.co.th/index.php?option=com_content&view=article&id=5126:articlejan25-6&catid=29&Itemid=180&lang=th
https://www.youtube.com/watch?v=AhJjGCfxZ1g