คนที่อยู่ในสังคมแห่งการทำงาน เชื่อว่าใครหลายคนคงเคยได้ยินคำว่า KPI (Key Performance Indicator) และคำว่า OKR (Objective and Key Results) รู้ความหมายและวิธีการทำงาน แต่ไม่รู้ว่าจะนำไปใช้งานให้เหมาะสมกับองค์กรอย่างไร ตั้งเป้าหมายคืออะไร แบบไหนถึงจะตอบโจทย์ เราจะมาไขข้อสงสัยให้รู้กันจากบทความนี้ค่ะ
รู้จักกับคำว่า OKR เครื่องมือชี้วัดผลลัพธ์ของเป้าหมาย
OKR คือ Objective and Key Results เป็นเครื่องมือในการตั้งเป้าหมายการทำงาน และมีการกำหนดกรอบเวลาที่ชัดเจน โดยจะมีเป้าหมายหลัก (Objective) จากนั้นติดตามความคืบหน้า ดูว่ามีการรพัฒนาในทิศทางที่ถูกต้องหรือไม่? แล้วช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพ ส่งเสริมจุดแข็งให้แกร่งยิ่งขึ้น และ ปรับปรุงจุดอ่อน ซึ่งสามารถใช้ได้ทั้งในระดับบุคคล ทีม และองค์กร
ความหมายของ Objectives
Objectives เป็นเป้าหมายขององค์กรหรือทีมที่ต้องตั้งให้สูง เพื่อใช้เป็นแรงผลักดันในการหาแนวทางการทำงานให้บรรลุเป้าหมายนั้น ๆ โดยเน้นไปที่แนวทางการทำงานเป็นหลัก
ความหมายของ Key Results
Key Result เป็นตัวชี้วัดที่เกิดขึ้นจากเป้าหมายทั้ง 3-5 ข้อที่ตั้งขึ้นมา โดยจะมีระยะเวลาในการวัดผลที่ค่อนข้างสั้นกว่าการวัดผลแบบ KPI ซึ่งจะเป็นการชี้วัดที่ชัดเจนในจุดที่ต้องปรับปรุงแบบเจาะลึก เพื่อช่วยให้ภาพรวมของเป้าหมายเติบโตอย่างที่ควรจะเป็น จึงเป็นวิธีการที่ใช้การแก้ปัญหาได้ตรงจุดกว่า
รู้จักกับ KPI ดัชนีชี้วัดความสำเร็จที่เป็นตัวเลข
KPI คือ Key Performance Indicator ดัชนีชี้วัดผลงานแบบภาพรวม ที่ใช้การประเมินผลงานเป็นตัวเลขในการชี้วัดประสิทธิภาพการทำงานที่ผ่านมา โดยจะมีกรอบเวลาในการวัดผลที่ค่อนข้างยาว ตั้งแต่รายไตรมาสไปจนถึงรายปี ซึ่งจะอิงจากตัวเลขในอดีตที่ใช้ชี้วัด เพื่อตั้งเป็นเป้าหมายในการทำงานให้กับคนในองค์กร
ความหมายขององค์ประกอบของ KPI
แม้ว่าจะเข้าใจถึงความหมายโดยรวมของคำว่า KPI (Key Performance Indicator) ไปแล้ว แต่องค์ประกอบที่ใช้ในการวัดผลของดัชชี้วัดตัวนี้แบ่งเป็น 3 ส่วนแยกย่อย ซึ่งมีความหมายที่แตกต่างกัน ดังนี้
Key
หมายถึงหัวใจหลัก หรือเป้าหมายหลักในการดำเนินงานที่ตั้งเอาไว้
Performance
หมายถึงประสิทธิภาพ ประสิทธิผล หรือผลของการทำงาน
Indicator
หมายถึงดัชนีชี้วัด หรือเกณฑ์ในการวัดผล

ความแตกต่างระหว่าง OKR และ KPI ใช้งานยังไงให้เหมาะสม
แม้ว่าเครื่องมือที่ใช้วัดผลการทำงานทั้งสองแบบจะดูมีเป้าหมายที่เหมือนกัน แต่ในความเป็นจริงแล้ว มีความแตกต่างในการใช้วัดผลกันพอสมควร เพราะการใช้ KPI (Key Performance Indicator) ในการวัดผล จะเหมาะกับเป้าหมายที่ตั้งไว้ในระยะยาวมากกว่า ส่วนการใช้ OKR (Objective and Key Results) นั้นจะเหมาะกับการใช้วัดผลงานที่เจาะจงมากกว่า และเหมาะที่จะใช้วัดในกรอบระยะเวลาที่แคบกว่า ส่วนข้อดีข้อแต่ละแบบจะมีอะรไบ้าง สามารถแบ่งได้ตามนี้
หัวข้อ | 🎯 OKR (Objectives and Key Results) | 📊 KPI (Key Performance Indicators) |
เป้าหมายหลัก | ใช้ตั้งเป้าหมายที่ท้าทายและสร้างการเปลี่ยนแปลง | ใช้สำหรับวัดผลลัพธ์และประสิทธิภาพของงานที่ทำอยู่ |
เน้นอะไร? | เน้น “เป้าหมายใหญ่” และผลลัพธ์ที่ต้องการ | เน้น “ประสิทธิภาพ” และความสำเร็จของงานที่ทำ |
ยืดหยุ่นหรือไม่? | ปรับเปลี่ยนได้บ่อย (เช่น ทุกไตรมาส) | เป็นตัวชี้วัดที่คงที่และใช้วัดผลต่อเนื่อง |
ระดับการใช้งาน | ใช้ในระดับองค์กร ทีม หรือบุคคล เพื่อขับเคลื่อนเป้าหมาย | ใช้ในระดับแผนกหรือพนักงาน เพื่อวัดผลการปฏิบัติงาน |
ตัวอย่างการใช้งาน | 🎯 Objective: เพิ่มคุณภาพการบริการลูกค้า🔑 Key Results: – ลดเวลาตอบกลับลูกค้าจาก 10 นาที เหลือ 3 นาที- เพิ่มคะแนนความพึงพอใจของลูกค้าจาก 85% เป็น 95% | ✅ KPI: – ระยะเวลาเฉลี่ยในการตอบลูกค้าไม่เกิน 5 นาที- คะแนนความพึงพอใจของลูกค้า (CSAT) ต้องมากกว่า 90% |
ตัวอย่างของ OKR
การตั้งเป้าหมายของ OKR จะเน้นไปที่ระยะสั้น เพื่อใช้ในการผลักดันให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในงานเฉพาะส่วน ตัวอย่างที่จะเห็นภาพได้ชัดที่สุดก็คือ การตั้งเป้าหมายที่อาจดูท้าทาย แต่ใช้เพื่อเป็นการสร้างแรงกระตุ้นร่วมในการทำงานเพื่อการพัฒนาอย่างรวดเร็ว ซึ่งวงการเทคโนโลยีน่าจะเป็นตัวอย่างที่อธิบายได้เห็นภาพชัดเจนที่สุด ตามด้านล่างนี้
- Objective: สร้างสมาร์ตโฟนที่แบตเตอรี่อยู่ได้ 1 สัปดาห์โดยไม่ต้องชาร์จ
- Key Results: ใน 1 วัน แบตเตอรี่จะต้องลดลงไม่เกิน 14% เพื่ออยู่ให้ถึง 1 สัปดาห์
ตัวอย่างด้านบนที่กล่าวมา อาจจะฟังดูเป็นเรื่องเกินจริง แต่เป็นตัวจุดประกายที่ทำให้เกิดการพัฒนาแบบเจาะจงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจจะกลายเป็นจริงได้ในระยะเวลาอันสั้น เหมือนกับที่เราเคยเห็นเทคโนโลยีชาร์จแบตเตอรี่บนสมาร์ตโฟนให้เต็มเร็วภายในระยะเวลาไม่ถึง 30 นาที จากที่แต่ก่อนต้องมีระยะเวลาไม่ต่ำกว่า 1 ชั่วโมงขึ้นไป
ตัวอย่างของ KPI
ส่วนการตั้งเป้าหมายของ KPI จะเน้นไปที่ภาพรวมในระยะยาว ที่มีกรอบเวลาอย่างชัดเจน โดยจะอิงจากตัวเลขในอดีตที่ผ่านมาในการใช้เป็นตัวเลขเป้าหมายในอนาคตที่ต้องทำให้ได้ และต้องเป็นเป้าหมายที่อยู่บนพื้นฐานความเป็นจริงที่สามารถบรรลุได้ ซึ่งจะอธิบายให้เห็นภาพได้ง่ายที่สุดจากตัวอย่างด้านล่างนี้
- KPI: ยอดขายสมาร์ตโฟนต้องเติบโต 10% ภายในปีหน้า (ปีที่แล้วเติบโต 7%)
จากตัวอย่างด้านบนจะเห็นได้ว่า การตั้งเป้าหมายด้วยดัชนีชี้วัดนี้จะอิงจากตัวเลขภาพรวมในอดีต เพื่อนำมาใช้ในการตั้งเป้าหมายกับพนักงานภายในองค์กร โดยเน้นที่ความเป็นไปได้ในการบรรลุเป้าหมายในกรอบระยะยาว โดยไม่เจาะจงในเนื้องานเฉพาะส่วนที่ต้องปรับปรุงแก้ไข

การใช้ OKR หรือ KPI ในการประเมินประสิทธิภาพการทำงาน ไม่ใช่แค่การตั้งเป้าหมายที่ดี อยากทำให้ดีขึ้น แต่ยังรวมไปถึงการมีระบบที่ชัดเจน และวัดผลได้ชัดเจน เพื่อให้ทีมมีเดินไปข้างหน้าในทิศทางเดียวกัน และพัฒนาองค์กรได้อย่างยั่งยืน หากคุณกำลังมองหาเครื่องมือนี้อยู่ ที่ตอบโจทย์ทุกการตั้งเป้าหมาย เพียงลงทะเบียนใช้งานได้ที่ https://cutt.ly/lrtHbW5H แล้วคุณจะพบเป้าหมายที่ชัดเจนได้ที่นี่
ที่มา : ไขข้อสงสัย OKR ต่างจาก KPI ยังไง