การทำงานร่วมกันระหว่างคนหลายเจเนอเรชันเป็นสิ่งที่พบได้บ่อยในองค์กรยุคปัจจุบัน ซึ่งแต่ละเจเนอเรชันมีมุมมอง ประสบการณ์ และวิธีการทำงานที่แตกต่างกัน การเข้าใจและบริหารความแตกต่างเหล่านี้เป็นกุญแจสำคัญในการทำให้ทีมทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ก่อนจะรู้ถึงประโยชน์ของความหลากหลายของเเต่ละ generation เราต้องมาดูกันก่อนว่าในที่ทำงานส่วนใหญ่มี Gen ไหนกันบ้าง แรงงานหลากหลายเจเนอเรชันหมายถึงการที่พนักงานจากหลากหลายช่วงอายุทำงานร่วมกัน โดยทั่วไปจะประกอบด้วย:
- Silent Generation (เกิดปี 1928–1945)
- Baby Boomers (เกิดปี 1946–1964)
- Generation X (เกิดปี 1965–1980)
- Millennials (เกิดปี 1981–1996)
- Generation Z (เกิดปี 1997–2012)
เนื่องจากอายุขัยเฉลี่ยของคนเพิ่มขึ้น หลายคนจึงเลือกทำงานต่อหลังวัยเกษียณ ทำให้เกิดแรงงานที่มีความหลากหลายด้านอายุมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ผู้บริหารฝ่ายทรัพยากรบุคคลควรให้ความสำคัญกับการดึงดูด สร้างแรงจูงใจ และพัฒนาบุคลากรจากทุกเจเนอเรชันเพื่อเพิ่มศักยภาพให้แก่องค์กร
ประโยชน์ของแรงงานหลากหลายเจเนอเรชัน
- มุมมองที่หลากหลาย
แต่ละเจเนอเรชันมีมุมมองที่แตกต่างกัน ซึ่งช่วยด้านไอเดียทีหลากหลายและการทำงานร่วมกันในทีม - การแก้ปัญหาที่ดีขึ้น
การผสมผสานประสบการณ์และทักษะที่หลากหลายช่วยสร้างแนวทางแก้ปัญหาที่สร้างสรรค์และมีประสิทธิภาพ - การเรียนรู้และการให้คำปรึกษา
ทีมสามารถได้รับประโยชน์จากการให้คำปรึกษา เช่น พนักงานอาวุโสถ่ายทอดความรู้ในอาชีพ และพนักงานรุ่นใหม่แนะนำเทคโนโลยีและเทรนด์ที่ทันสมัย - การถ่ายโอนและเก็บรักษาความรู้
ความหลากหลายของเจเนอเรชันช่วยให้การรักษาองค์ความรู้ภายในองค์กรมีประสิทธิภาพ รองรับการพัฒนาผู้นำในอนาคต และลดการพึ่งพาการจ้างงานจากภายนอก - สร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่ง
การเชื่อมโยงระหว่างเจเนอเรชันช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่มีคุณค่า เพิ่มความพึงพอใจในการทำงาน และสร้างบรรยากาศที่เหมือนครอบครัวในองค์กร
การทำงานร่วมกันของคนหลายเจเนอเรชันสามารถเป็นข้อได้เปรียบขององค์กร หากมีการบริหารจัดการที่ดี เปิดใจรับฟังกัน และใช้ความแตกต่างเป็นพลังในการสร้างสรรค์ผลงานที่มีประสิทธิภาพ