9 สัญญาณบ่งบอก Workload ดูยังไงว่าลูกทีมงานหนักไปหรือเปล่า

แม้บางครั้งการได้ทำงานบ่อยๆ หรือทำงานหนักๆ จะช่วยให้พนักงานได้ฝึกฝนทักษะหรือรู้จักความอดทนมากขึ้น แต่ก็ควรอยู่ในปริมาณที่พอเหมาะ หากสะสมจนกลายเป็น Workload ก็อาจทำให้เขาเกิด อาการเครียด ได้ แถมยังจะส่งผลต่อเนื่องไปในหลายเรื่อง ๆ รวมถึงประสิทธิภาพของการทำงานด้วย ดังนั้นมาดูวิธีสังเกต พนักงานที่กำลังเผชิญกับภาวะ Workload และวิธีลดภาระงานให้เหมาะสม ทำได้อย่างไรบ้าง

การเป็น หัวหน้าทีมที่ดี หรือการเข้าถึงพนักงานของบริษัท ถือเป็นหัวใจหลักของการบริหารงานที่เกี่ยวกับตัวบุคคล การเป็นหัวหน้านั้นไม่ใช่เพียงแต่ต้องบริหารงานให้เป็นอย่างเดียว แต่ต้องรู้จักบริหารคนให้ได้ด้วย ควรลองหาโอกาสหมั่นสอบถามและพูดคุยกับคนในทีมอยู่เสมอ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเสียทั้งงานและคนที่มีความสามารถไป และนี่คือ 9 สัญญาณเตือน Workload ที่ควรสังเกตให้ดี ว่าพนักงานกำลังเผชิญกับ Workload อยู่หรือไม่

1. มีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด

ข้อนี้น่าจะสังเกตได้ง่ายที่สุด เพราะแต่เดิมหากพนักงานมีนิสัยร่าเริง ตั้งใจทำงาน พูดคุยและมีมนุษย์สัมพันธ์กับทุกคนในที่ทำงาน แต่กลับเปลี่ยนไป ไม่ค่อยร่าเริง และพูดคุยกับคนรอบข้างเหมือนแต่ก่อน ก็ควรลองหาเวลาพูดคุยกับพนักงานคนนั้นเป็นการส่วนตัว ถึงสาเหตุที่ทำให้มีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป หากเกี่ยวข้องกับเรื่องของงานจริง ๆ ก็ควรรีบหาทางแก้ไขร่วมกันให้เร็วที่สุด เพราะการเป็นหัวหน้างานที่ดีนั้น จะต้องรู้จักนิสัยของพนักงานหรือลูกทีมทุกคนของตัวเองเป็นอย่างดี จึงจะทำให้สังเกตุภาวะ Workload ของคนในทีมได้

2. มีการแยกตัวออกจากสังคมในออฟฟิศ

อีกหนึ่งจุดสังเกต Workload คือ พนักงานบางคนอาจมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมทีมหรือคนอื่น ๆ ในทีมน้อยลง หรือชอบปลีกวิเวกไปใช้ชีวิตอยู่คนเดียว แอบไปนั่งทำงานเงียบ ๆ ใส่หูฟังทำงานตลอดเวลา ไม่เข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ที่บริษัทจัดให้ นอกจากนี้คือ ไม่ให้ความร่วมมือเรื่องงานกับเพื่อน ๆ คนอื่นในทีม ทำเฉพาะงานของตนเอง สิ่งเหล่านี้ก็อาจเป็นสัญญาณว่าพนักงานกำลังต้องการความช่วยเหลือจาก Workload ได้เช่นกัน

3. ลาป่วยบ่อย

การลาป่วยของพนักงานถือเป็นสิทธิตามกฎหมาย ที่กำหนดไว้ไม่เกิน 30 วันต่อปี พนักงานสามารถใช้ได้ตามสิทธิที่กำหนดไว้ แม้เราอาจจะไม่รู้ได้เลยว่าเขาป่วยจริงหรือป่วยการเมือง แต่หากพนักงานมีพฤติกรรมลาป่วยบ่อย แบบไม่ทราบสาเหตุของอาการป่วยที่แน่ชัด อาจเป็นสัญญาณว่าพนักงานกำลังอยู่ในภาวะ Workload จนส่งผลต่อสุขภาพร่างกายและจิตใจ ทั้งนี้อาการป่วยอาจเกิดจากความเครียดจากงาน จนนำไปสู่โรคต่าง ๆ ทางร่ายกายได้เช่นกัน

4. ทำงานนอกเวลางานบ่อยครั้ง

สมัยนี้เรื่องของ Work Life Balance เป็นสิ่งสำคัญ หลายบริษัทเริ่มตระหนักถึงเทรนด์นี้มากขึ้น โดยจะให้ความเคารพกับสิทธิและเวลาส่วนตัวที่อยู่นอกเหนือจากเวลางานของพนักงาน เพื่อให้ได้คลายความเครียด และไม่ต้องนำเรื่องงงานติดตัวกลับไปที่บ้านด้วย แต่หากเริ่มสังเกตเห็นว่า ลูกทีมมาทำงานเช้ากว่าเดิม กลับดึกอยู่บ่อยครั้ง หรือบางครั้งก็มีการหอบโน้ตบุ๊กกลับไปที่บ้านด้วย เป็นอีกหนึ่งสัญญาณของการทำงานแบบ Workload ที่ต้องรีบแก้ไขหรือให้การช่วยเหลือ

5. เกิดข้อผิดพลาดในการทำงาน

เรื่อง Human Error หรือความผิดพลาดในการทำงานเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ แต่ส่วนหนึ่งก็มีสาเหตุมาจากการที่พนักงานมักทำงานหนักมากเกินกว่าที่ศักยภาพจะรับไหว หรือทำงานในปริมาณที่มากเกินไป จนส่งผลให้เกิดข้อผิดพลาดหลายอย่างขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการหลงลืมงานบางชิ้น ตกหล่นในรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ หรือการตัดสินใจที่ผิดพลาด ฯลฯ จะเห็นได้ชัดหากพนักงงานคนดังกล่าวเคยทำงานอย่างรอบครอบ ไม่เคยทำงานพลาด แต่สุดท้ายกลับมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น โดยเฉพาะกับเรื่องที่ทำเป็นบ่อย ๆ ให้สันนิษฐานไว้ก่อนเลยว่า พนักงานอาจกำลังเผชิญกับภาวะ Workload อยู่

6. มีอาการเครียดอย่างเห็นได้ชัด

การที่คนเราเกิดความเครียดสะสม อาจส่งผลทำให้สารเคมีในสมองแปรปรวน จนสามารถแสดงออกมาเป็นอาการทางร่างกายหรือพฤติกรรมที่สังเกตได้ เช่น มีท่าทางหดหู่ ซึมเศร้า เป็นกังวลกับทุกเรื่อง ไม่กล้าตัดสินใจ รู้สึกนอยด์กับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ฯลฯ ซึ่งอาการเหล่านี้ล้วนส่งผลต่อการทำงานทั้งสิ้น แถมยังส่งผลต่อร่างกายในระยะยาวอีกด้วย ปิดท้ายด้วยเรื่องของการลาออกไปหางานใหม่ เพื่อกำจัดความเครียดจากภาวะ Workload ที่ต้องเผชิญ

บางทีคนเราเมื่อเจอสภาวะงานแบบ Workload หรือภาระงานที่มากกว่าเวลาที่มี ก็อยากหาทางระบายความเครียดออกไป บางคนจึงเลือกที่ระบายออกมาทางสีหน้าและอารมณ์ รวมไปถึงการกระทำ ไม่ว่าจะเป็นการพูดจาไม่ดีใส่เพื่อนร่วมงาน หรือหากมีข้อขัดแย้งเล็กน้อยเกิดขึ้นในทีม กลับใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผลในการตัดสนินใจ ฯลฯ

8. แอบร้องไห้

มนุษย์นั้นมีวิธีการระบายความเครียดที่แตกต่างกันออกไป การร้องไห้ก็ถือเป็นการระบายความเครียดอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งก็เป็นหน้าที่ของหัวหน้างานที่จะต้องสังเกตพฟติกรรมของลูกทีมแต่ละคน หากสังเกตได้ว่าพนักงานแอบไปร้องไห้ ให้ลองหาเวลาพูดคุย หากไม่ใช่เรื่องส่วนตัว ก็อาจมาจากปัญหาเรื่องงานที่มากเกินไปหรือ Workload ที่อาจนำไปสู่การเข้าใจปัญหาอื่น ๆ ได้อีกด้วย ไม่ควรปล่อยปละละเลย และรีบพูดคุยทำความเข้าใจให้เร็วที่สุด

9. ไม่ดูแลตัวเอง

ส่วนใหญ่การที่คนเราออกจากบ้านไปทำงาน ก็มักจะต้องแต่งตัวดี เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้ตัวเอง การสังเกตปัญหา Workload ของพนักงานก็สามารถดูได้จากการเปลี่ยนแปลงในการดูแลตัวเองของพนักงานได้เช่นกัน โดยเฉพาะคนที่เคยใส่ใจเรื่องเสื้อผ้าหน้าผมมาก่อน แต่เมื่อทำงานไปสักระยะ เริ่มเปลี่ยนแปลงพร้อมทั้งมีพฤติกรรมไม่เหมือนเดิม ทั้งหมดนี้อาจแสดงถึงความเหนื่อยล้าจากงานที่มากเกินไปจนไม่มีเวลาดูแลตัวเอง หรือไม่มีความสุขกับงานที่ทำอยู่ก็เป็นได้

เครดิต : JOBDB

Recently Post

เงินค่าน้ำมันและค่าโทรศัพท์ เป็นค่าจ้างที่ต้องนำมาคำนวณในฐานค่าชดเชยไหม ?

เงินค่าน้ำมันและค่าโทรศัพท์ เป็นค่าจ้างที่ต้องนำมาคำนวณในฐานค่าชดเชยไหม ?

ยุคนี้ ไม่เพียงแต่เงินเดือนเท่านั้นที่จูงใจให้พนักงานอยากอยู่ต่อ แต่สวัสดิการดีๆ...

อ่านเพิ่มเติม