ในยุคที่องค์กรต้องการความคล่องตัวและความสามารถของพนักงานที่ตอบโจทย์การเปลี่ยนแปลง การ “ประเมินสมรรถนะ” หรือ Competency Assessment จึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้องค์กรเข้าใจศักยภาพที่แท้จริงของคนทำงาน และวางแผนพัฒนาได้ตรงจุด
1. ความหมายของคำว่า Competency
Competency คือ การประเมินความรู้ ทักษะ ความสามารถ พฤติกรรมการทํางานของบุคคล รวมทั้งคุณลักษณะที่แสดงออกและเปรียบเทียบกับระดับสมรรถนะที่คาดหวังในตําแหน่งงานนั้นๆ เพื่อกําหนดวิธีการพัฒนาทรัพยากรบุคคล
David C. McClellance อธิบายถึงการนำสมรรถนะความสามารถไปเรียบเทียบกับโมเดลภูเขาน้ำแข็ง (Iceberg Model) โดยอธิบายว่า การเรียนรู้เกี่ยวกับสมรรถนะความสามารถไม่ได้หมายถึงพฤติกรรมที่แสดงออกมาให้เห็นเท่านั้น แต่ยังหมายถึงพฤติกรรมทั้งหมดที่เกิดขึ้นจาก ส่วนหลักคือ
ส่วนที่มองเห็น ประกอบด้วย ความรู้ความเข้าใจ (Knowledge and Understanding) และ ทักษะ (Skill) และ ส่วนที่มองไม่เห็น ที่ประกอบด้วย แนวคิดของตน (Self-Concept) อุปนิสัย (Trait) และ แรงจูงใจ (Motive)
โดยแบ่งออกได้ เป็น ประเภทหลักๆ ได้แก่
1.Core Competency คือ สมรรถนะความสามารถหลักที่พนักงานทุกคน ทุกระดับในองค์กรจะต้องมีร่วมกัน
2.Functional Competency คือ สมรรถนะความสามารถของหน่วยงาน แตกต่างกันตามขอบเขตของหน่วยงานคือ สมรรถนะความสามารถของของพนักงานในระดับหัวหน้างานและผู้บริหาร
3. Leadership Competency: สมรรถนะสำหรับผู้นำ เช่น การวางแผนเชิงกลยุทธ์ การบริหารคน
2. การประเมินสมรรถนะ ใช้ทำอะไร?
การที่องค์กรให้ความสำคัญต่อสมรรถนะของบุคคล ช่วยให้องค์กรสามารถคัดสรรบุคคลที่มีคุณสมบัติที่ดี ทั้งด้านความรู้ ทักษะ และความสามารถตลอดจนพฤติกรรมที่เหมาะสมกับงาน ช่วยให้ทราบถึงความสามารถของตนเองว่าอยู่ในระดับใดและจำเป็นต้องพัฒนาในเรื่องใด เพื่อที่จะนำไปใช้ในการพัฒนาแบบ Personalized Learning
2.1 การสรรหาและคัดเลือก
ช่วยให้องค์กรเลือกคนที่เหมาะกับวัฒนธรรมองค์กรและความต้องการของตำแหน่ง ไม่ใช่แค่ดูจากประวัติหรือวุฒิการศึกษา
2.2 การประเมินผลงาน (Performance Appraisal)
การใช้สมรรถนะเป็นเกณฑ์ร่วมกับตัวชี้วัดผลลัพธ์ (KPI) ช่วยให้การประเมินมีมิติมากขึ้น เช่น คนสองคนได้ผลลัพธ์เท่ากัน แต่คนหนึ่งใช้ความร่วมมือในทีม ส่วนอีกคนใช้อำนาจและความกดดัน — คุณค่าของพฤติกรรมไม่เท่ากัน
2.3 การพัฒนาและฝึกอบรม
เมื่อรู้ว่าสมรรถนะใดที่ยังขาด สามารถออกแบบโปรแกรมพัฒนาได้เฉพาะจุด เช่น จัดอบรม Soft Skills, Coaching หรือ Job Rotation
2.4 การวางแผนทดแทนตำแหน่ง (Succession Planning) ช่วยเตรียมคนที่มีศักยภาพให้พร้อมก้าวสู่บทบาทใหม่ในอนาคต
3. องค์ประกอบของสมรรถนะ
ความรู้ (Knowledge) ข้อมูล ทฤษฎี เทคนิคที่จำเป็นสำหรับงาน
ทักษะ (Skill) ความสามารถทางกายหรือทางจิตที่แสดงออกได้ เช่น การสื่อสาร การวิเคราะห์
ทัศนคติ (Attitude) แนวคิด มุมมอง ความตั้งใจ เช่น ความรับผิดชอบ ความอดทน
พฤติกรรม (Behavior) สิ่งที่คนคนนั้น “ทำจริง” เมื่อทำงาน
4. กระบวนการประเมินสมรรถนะมีขั้นตอนอะไรบ้าง?
- กำหนดสมรรถนะที่ต้องการ
องค์กรต้องกำหนดลักษณะ ความสามารถ และพฤติกรรมที่สำคัญสำหรับแต่ละตำแหน่ง เช่น ความคิดเชิงวิเคราะห์ ทักษะการเจรจา ความเป็นผู้นำ - สร้างเกณฑ์การประเมินที่ชัดเจน
เช่น กำหนดระดับคะแนนพฤติกรรม ตั้งแต่ทำได้ดีเยี่ยมจนถึงต้องพัฒนาเพิ่มเติม - เลือกเครื่องมือประเมินที่เหมาะสม
เช่น:- แบบสอบถาม
- การสัมภาษณ์เชิงพฤติกรรม
- การประเมิน 360 องศา
- การสังเกตพฤติกรรมจริงขณะทำงาน
- ดำเนินการประเมินและให้ Feedback
โดยให้ข้อมูลย้อนกลับที่ชัดเจน และเน้นการนำผลประเมินไปใช้พัฒนาต่อ - ใช้ผลประเมินเพื่อวางแผนการพัฒนา
เช่น การสร้างแผนพัฒนารายบุคคล (IDP) การส่งเข้าอบรมเฉพาะทาง หรือการเตรียมความพร้อมสำหรับการเลื่อนตำแหน่ง
การประเมินสมรรถนะเป็นกระบวนการวัดว่าพนักงานมีความรู้ ทักษะ ทัศนคติ และพฤติกรรมที่เหมาะสมกับความสำเร็จของงานหรือไม่ โดยไม่ได้มองแค่ผลลัพธ์ แต่เน้น “วิธีการทำงาน” ด้วย
องค์กรใช้การประเมินนี้เพื่อวางแผนพัฒนาคน เลือกคนให้ตรงกับงาน และเสริมสร้างศักยภาพระยะยาว พนักงานเองก็จะได้เข้าใจจุดแข็ง-จุดที่ต้องพัฒนา พร้อมมีแนวทางการเติบโตที่ชัดเจน
หัวใจสำคัญคือ ต้องโปร่งใส ยุติธรรม และมองการพัฒนามากกว่าการตัดสิน