ประกันสังคม เป็นสิทธิประโยชน์ขั้นพื้นฐานของมนุษย์เงินเดือนทุกคน เพราะการเป็นลูกจ้างหรือผู้มีรายได้ทุกเดือน สามารถสมัครเป็นผู้ประกันตนในมาตรา 33 และมาตรา 39 ของประกันสังคมได้ แต่เชื่อไหมว่า สิทธิประโยชน์ที่ได้จากประกันสังคมนั้น บางคนกลับไม่ค่อยได้ใช้ ทำให้ต้องเสียสิทธิ์ไปอย่างน่าเสียดาย
สิทธิประโยชน์ของประกันสังคม
ไม่ว่าจะทำประกันในรูปแบบใดในยุคนี้ ย่อมช่วยลดความเสี่ยงจากเหตุการณ์ไม่คาดฝัน และสร้างความอุ่นใจในชีวิตและทรัพย์สินด้วยกันทั้งสิ้น ประกันสังคมก็เช่นเดียวกัน คือการทำประกันที่สร้างหลักประกันให้กับชีวิตลูกจ้างในระหว่างการทำงาน โดยทุกๆ เดือนจะมีการจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมระหว่างนายจ้างและลูกจ้างฝ่ายละเท่าๆ กัน
ทั้งนี้ เงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมจะถูกนำไปจัดสรรโดยแบ่งเป็น 3 ส่วน (ในกรณีที่การจ่ายเงินสมทบต่อเดือนสูงสุดที่ 750 บาท) ดังนี้
1.อัตรา 1.5% จำนวน 225 บาท สำหรับคุ้มครองกรณีเจ็บป่วย ทุพพลภาพ เสียชีวิต และคลอดบุตร
2.อัตรา 0.5% จำนวน 75 บาท สำหรับคุ้มครองกรณีว่างงาน
3.อัตรา 3% จำนวน 450 บาท สำหรับคุ้มครองสิทธิประโยชน์การสงเคราะห์บุตร หรือชราภาพ ซึ่งในส่วนนี้คือเงินสะสม และจะได้รับคืนเมื่ออายุครบ 55 ปีบริบูรณ์
ผลประโยชน์จากประกันสังคม ที่คนมักลืม
สิทธิประโยชน์จากประกันสังคมนั้นจะช่วยรับผิดชอบความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นทั้งหมด 7 กรณี ได้แก่ ว่างงาน ประสบอันตรายหรือได้รับความเจ็บป่วย คลอดบุตร สงเคราะห์บุตร ทุพพลภาพ ชราภาพ และเสียชีวิต อย่างไรก็ตาม สิทธิประโยชน์ที่ลูกจ้างได้รับจากประกันสังคมทั้ง 7 กรณีนั้น บางครั้งลูกจ้างอาจไม่ได้ใช้ครบทุกกรณี แต่ก็มีสิทธิประโยชน์บางอย่างที่ลูกจ้างทุกคนมีสิทธิ์ใช้ได้ทุกปี แต่หลายคนมักจะละเลยหรือไม่ค่อยได้ใช้ เช่น
ตรวจสุขภาพประจำปี
หลายคนยังไม่รู้ว่า ผู้ประกันตนทุกคนสามารถใช้สิทธิ์ประกันสังคมตรวจสุขภาพฟรี ณ โรงพยาบาลรัฐทุกแห่ง และโรงพยาบาลเอกชนที่เข้าร่วมกับสำนักงานประกันสังคมนับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 เป็นต้นไป โดยจะเป็นการตรวจสุขภาพขั้นพื้นฐานและตรวจคัดกรองเพื่อป้องกันโรคทั้งหมด 14 รายการ ได้แก่
- การคัดกรองการได้ยิน Finger Rub Test
- การตรวจเต้านม โดยแพทย์หรือบุคลากรสาธารณสุข
- การตรวจตา โดยจักษุแพทย์ เพื่อคัดกรองความผิดปกติและค้นหาโรคทางสายตา พร้อมทั้งการตรวจ Snellen eye Chart และวัดความดันของเหลวภายในลูกตา
- การตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด CBC
- การตรวจปัสสาวะ UA
- การตรวจระดับน้ำตาลในเลือด FBS (Fasting Blood Sugar)
- การตรวจการทำงานของไต Cr และ eGFR
- การตรวจไขมันในเส้นเลือดชนิด Total และ HDL Cholesterol
- การตรวจเชื้อไวรัสตับอักเสบ HBsAg
- การตรวจมะเร็งปากมดลูก Pap Smear
- การตรวจมะเร็งปากมดลูกวิธี Via
- การตรวจมะเร็งปากมดลูก HPV DNA TEST ชนิด 2 สายพันธุ์ และ 14 สายพันธุ์
- การตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่และลำไส้ตรง
- การการเอกซเรย์ปอดหรือการถ่ายภาพรังสีทรวงอก (Chest X-ray)
ทันตกรรม
ในแต่ละปี ผู้ประกันตนสามารถใช้สิทธิ์ทำฟันได้ไม่เกิน 900 บาทต่อปี ในกรณีขูดหินปูน อุดฟัน ถอนฟัน และผ่าฟันคุด ส่วนในกรณีที่ใส่ฟันเทียมชนิดถอดได้บางส่วน ประกันสังคมจะจ่ายค่าบริการทางการแพทย์และค่าฟันเทียมให้ตามจริงไม่เกิน 1,500 บาท ภายในระยะเวลา 5 ปี นับตั้งแต่วันที่ใส่ฟันเทียม และกรณีที่ใส่ฟันเทียมถอดได้ทั้งปาก ประกันสังคมจ่ายให้ตามจริงไม่เกิน 4,400 บาท ภายในระยะเวลา 5 ปี นับตั้งแต่วันที่ใส่ฟันเทียม
รู้อย่างนี้แล้ว อย่าพลาดไปใช้สิทธิ์จากประกันสังคมกันนะ เพราะสิทธิประโยชน์เหล่านี้สามารถใช้ได้แค่ปีต่อปีเท่านั้น
ที่มา